Laem Chabang Port: The World Top Port for Seamless Linkage Logistics

หมวดหมู่: COVER STORY

Laem Chabang Port: The World Top Port for Seamless Linkage Logistics

“ท่าเรือแหลมฉบัง” ท่าเรือชั้นนำระดับโลก

เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์สู่การค้าโลกแบบไร้รอยต่อ

 

ท่าเรือแหลมฉบัง เร่งแผนพัฒนาศักยภาพท่าเรือเต็มขั้น มุ่งสู่การเป็น “ท่าเรือชั้นนำระดับโลก เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์สู่การค้าโลกแบบไร้รอยต่อ” เพื่อสนับสนุน-ส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ พัฒนาจุดเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งและรองรับการขยายตัวทางเศษฐกิจในอนาคต ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของภูมิภาค

 

จากวิสัยทัศน์ของท่าเรือแหลมฉบังที่มุ่งสู่การเป็น “ท่าเรือชั้นนำระดับโลก เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์สู่การค้าโลกแบบไร้รอยต่อ” โดยที่ผ่านมาท่าเรือแหลมฉบังได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสนับสนุนการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) โดยเฉพาะการใช้การขนส่งทางราง และทางน้ำ ซึ่งเป็นรูปแบบการขนส่งที่ประหยัดพลังงาน รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายภายในประเทศที่เชื่อมโยงไปสู่ประตูการค้าระหวางประเทศ เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับนโยบายในการบริหารงานว่า ท่าเรือแหลมฉบัง มีวิสัยทัศน์ คือ “เป็นท่าเรือชั้นนำระดับโลก เชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์สู่การค้าโลกแบบไร้รอยต่อ” มีโครงการที่สนับสนุนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม และวิสัยทัศน์องค์กร ดังนี้ 1. โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 2. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และ 3. โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง

 

ภาพรวมศักยภาพของท่าเรือแหลมฉบังในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

การดำเนินงานของท่าเรือแหลมฉบังในปีงบประมาณ 2563 นั้น แม้ว่าปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าและเรือผ่านท่านั้นลดลงจากปีที่ผ่านมา จากสาเหตุหลักที่เกี่ยวเนื่องสำคัญมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ในเรื่องนี้ ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา ท่าเรือแหลมฉบัง ได้มีมาตรการในการดำเนินการในการเฝ้าระวัง และป้องกันในเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่ง ท่าเรือแหลมฉบังได้รับผลกระทบใน 2 สถานะ คือ เป็นช่องทางการเข้าออกของประเทศทางน้ำ และเป็นช่องทางขนส่งตู้สินค้าเข้าออกของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยรวมตามสภาวะเศรษฐกิจ

สำหรับ ท่าเรือแหลมฉบังนั้น เป็นเส้นทางการเข้าออกของประเทศทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยในช่วงนี้มีเรือเข้าเทียบท่าวันละประมาณ 40-50 ลำ โดยมีลูกเรือที่ต้องตรวจสอบวันละประมาณ 100-300 คน และจะมีการคัดกรองจากหมอ ที่ด่านกักกันโรค ที่ 5 จังหวัดชลบุรี เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ ท่าเรือแหลมฉบังสามารถรับมือกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ได้ 100%

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ท่าเรือแหลมฉบัง มีปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าผ่านท่าเรืออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจาก และยังมีความจำเป็นต้องมีการตระเตรียมสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับการขนส่งในอนาคต จึงยังคงนโยบายเร่งพัฒนาโครงการขั้นที่ 3 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้านทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้านทีอียูต่อปี โดยจะดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำหรับรองรับเรือขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

 

วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของท่าเรือ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัว 5.3 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้า ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการหยุดชะงักของภาคการผลิต ซึ่งส่งผลต่อรายได้และการบริโภคของครัวเรือน ไปจนถึงภาคการลงทุนของธุรกิจและเอกชนคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลในปี 2020 อาจลดลง 5.1 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า ในส่วนของการขนส่งตู้สินค้าคาดว่าจะลดลง 9-10 เปอร์เซ็นต์ โดยในครึ่งปีแรกของปี 2020 คาดว่าสายการเดินเรือมีผลกำไรลดลง 25-30 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการยกเลิกการให้บริการในบางเส้นทาง

ในฐานะแพล็ตฟอร์มโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ กทท. จึงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลการดำเนินงานจะแปรผันตามปริมาณการนำเข้าและส่งออก โดยสะท้อนจากตัวเลขผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา (ตุลาคม 2019 – มีนาคม 2020) ของท่าเรือกรุงเทพ และ ท่าเรือแหลมฉบังซึ่งมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่ารวมที่ 4.698 ล้านทีอียู ลดลง 2.562 เปอร์เซ็นต์ รวมรายได้สะสม 6 เดือน 7,397 ล้านบาท ลดลง 1.20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

โครงการที่เร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของภูมิภาค    

                       ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า สำหรับโครงการเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลของภูมิภาคนั้น มี 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้าภายในประเทศให้มากขึ้น และได้บรรจุโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 อยู่ในโครงการสำคัญของ EEC Project list และมีนโยบายให้ ท่าเรือแหลมฉบังปรับแบบศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) ของ ท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ให้รองรับตู้สินค้าได้สูงสุด 4 ล้านทีอียูต่อปี จากเดิมที่ออกแบบให้รองรับเพียง 1 ล้านทีอียูต่อปี

                       เพื่อเพิ่มปริมาณสัดส่วนการขนส่งทางรางขึ้นเป็นร้อยละ 30 และเพิ่มระบบการจัดการขนตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ (Automation) และเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ และเป็นการสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกทางหนึ่ง ทำให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าวิสัยสามารถในปัจจุบัน เมื่อการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 แล้วเสร็จ  ท่าเรือแหลมฉบัง จะมีวิสัยสามารถรองรับตู้สินค้าผ่านท่ารวมกันได้ 18 ล้านที.อี.ยู.ต่อปี และรองรับการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ 6 ล้านที.อี.ยู.ต่อปี

                 โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 ปัจจุบันอยู่ระหว่างสรรหาเอกชนให้บริการเคลื่อนย้ายตู้สินค้าฯ และจ้างเหมาบริหารจัดการตู้สินค้า รวมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ภายในโครงการฯ คาดว่าจะได้ผู้รับจ้างภายในปี 2563

                 โครงการท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างท่าเทียบเรือและติดตั้งเครื่องมือยกขนหลักเรียบร้อยแล้ว และได้เปิดทดลองให้เรือชายฝั่งเข้าใช้บริการเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 และเปิดอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563

 

การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันระบบโลจิสติกส์ของประเทศ

            ท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือน้ำลึกหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ที่มีโครงการพัฒนาต่างๆ ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่ได้เปิดให้บริการแล้ว รวมถึงโครงการพัฒนาต่างๆ ที่พร้อมรองรับการพัฒนาสู่มาตรฐานการเป็นท่าเรือระดับโลก ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง และโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) อีกด้วย

                     ร้อยตำรวจตรี มนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาต่างๆ ที่พร้อมรองรับการพัฒนาสู่มาตรฐานการเป็นท่าเรือระดับโลก ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบังให้สามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 11.1 ล้านทีอียู/ปี ซึ่งสอดคล้องต่อวิสัยทัศน์การท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก ด้วยการให้บริการด้านโลจิสติกส์ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573 อย่างรอบด้าน โดยท่าเรือแหลมฉบังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาท่าเรือแหลมบังให้เป็น World Class Port โดยเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นท่าเรือที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย

 

แผนการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3

โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่รัฐบาลต้องการเร่งพัฒนาให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้มีการเชื่อมต่อและขนส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) และประเทศจีนตอนใต้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งและกระจายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาค และเตรียมผลักดันให้เป็นท่าเรือชั้นนำของโลก

หากท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เปิดให้บริการครบทุกท่าเทียบเรือและสถานีขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ จะทำให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้สูงสุดถึง 18.1 ล้านตู้ต่อปี อีกทั้ง ยังสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ส่งออกนำเข้าได้ และสามารถเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) เช่น การขนส่งสินค้าทางรถไฟและเรือชายฝั่ง ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ อาทิ กลุ่ม CLMV และจีน แบบไร้รอยต่อ

โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ดำเนินการเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการขนส่งสินค้าทางน้ำให้แก่ประเทศ เพื่อเน้นย้ำถึงจุดยืนการเป็นเกตเวย์หลักในภูมิภาค การเป็นศูนย์กลางทางการค้า อีกทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพการเป็นท่าเรือที่ล้ำสมัยด้วยการบริหารจัดการ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนผสมผสานให้เป็นท่าเรือที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย

จากเดิมตามแผนงานก่อสร้างของโครงการพัฒนา ท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เริ่มเดือนมิถุนายน 2563 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยมีการทำงานตั้งแต่งานก่อนเริ่มก่อสร้าง งานออกแบบรายละเอียดของส่วนท่าเทียบเรือ งานขออนุมัติเห็นชอบจาก กก.วล. และงานก่อสร้างฯ ซึ่งตามแผนงานดังกล่าวการก่อสร้างท่าเทียบเรือ F จะเริ่มก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเมื่อผู้ได้รับสัมปทานได้รับพื้นที่จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตามแผนการดำเนินงานจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567

 

ผลการดำเนินงานปี 2563 และเป้าหมายในปี 2564

สำหรับสถิติผลการดำเนินงานของ ท่าเรือแหลมฉบัง ปีงประมาณ 2563 (7.642 ล้านทีอียู) นั้น พบว่า มีปริมาณตู้สินค้าลดลง รวมถึงปริมาณเรือ (เที่ยว) และจำนวนตันของเรือ (GT) เนื่องจากในปี 2563 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้หลายกรณี เช่น ประเทศคู่ค้า การแข่งขัน การเมืองใน/นอกประเทศ ส่วนแบ่งการตลาด สัญญาสัมปทานของ ท่าเรือแหลมฉบัง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการดำเนินการของธุรกิจทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ทำให้ต้องมีการแปรผันตาม (GDP) และต้องคำนึงถึงสภาวะรอบด้านประกอบการพิจารณาด้วย เป้าหมายในปี 2564 คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณตู้สินค้าประมาณ (7.680 ล้านทีอียู)

ท่าเรือแหลมฉบัง ได้พัฒนาศักยภาพอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อช่วยเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาท่าเรือไปสู่ความเป็นท่าเรือสากลที่มีศักยภาพสูงและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ส่งผลให้ ท่าเรือแหลมฉบัง ก้าวสู่องค์กรชั้นนำของประเทศ และก้าวสู่การเป็นฮับการขนส่งและโลจิสติกส์อาเซียน ด้วยมาตรฐานระดับสากล…

 

สอบถามข้อมูลติดต่อ ท่าเรือแหลมฉบัง

โทรศัพท์: +66-0-3849-0000
แฟกซ์: +66-0-3849-0149

เว็บไซต์: http://lcp.port.co.th l Facebook l eMail : contact@laemchabangport.com

18 สิงหาคม 2564

ผู้ชม 6494 ครั้ง

Engine by shopup.com