Pol. Sub. Lt. Montree Lergchumniel, from an engineer to the captain of Laem Chabang Port
Pol. Sub. Lt. Montree Lergchumniel, from an engineer to the captain of Laem Chabang Port
Living proof that success as LCP MD
Pol. Sub. Lt. Montree Lergchumniel, from an engineer to the captain of Laem Chabang Port
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร
จากนายช่างสู่ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ท่าเรือแหลมฉบัง
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เล่าถึงเส้นทางสู่ความสำเร็จจากนายช่างกองการขุดลอก ฝ่ายการร่องน้ำ การท่าเรือแห่งประเทศไทย สู่ตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของท่าเรือแหลมฉบัง
“ผมเป็นคนชลบุรีโดยกำเนิด เติบโตมากับทะเล เช้าตื่นมาก็เห็นทะเลทุกวัน มีความผูกพันอยู่กับทางน้ำมาโดยตลอด กว่า 33 ปี กับการทำงานในท่าเรือแหลมฉบัง ผมมองเห็นความเติบโตของท่าเรือจากตั้งแต่เริ่มก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 1 เห็นท่าเรือแหลมฉบังระยะเริ่มต้น จนมาถึงปัจจุบันที่ท่าเรือแหลมฉบังมีการเติบโตอย่างมาก และก้าวสู่การเป็นท่าเรือชั้นนำระดับภูมิภาค”
“หลักการทำงานของผมคือการเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจคนทำงาน ต้องคิดว่าคนทำงานต้องการสนับสนุนด้านใดบ้าง ที่ไม่เพียงแต่ให้นโยบายแต่ต้องลงไปช่วยเค้าด้วย วิธีการทำงานของผมคือเข้าถึง และเหนื่อยไปพร้อมๆ กับลูกน้อง ให้อิสระลูกน้องในการทำงาน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน”
หลังได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง ในการร่วมพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังจนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำงานที่มุ่งมั่นทุ่มเท ในแบบฉบับผู้บริหารสายลุย ทำงานแบบถึงลูกถึงคน ที่ผนึกกำลังกับทีมงานและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้วันนี้ท่าเรือแหลมฉบังก้าวสู่ท่าเรือชั้นนำระดับภูมิภาคที่มีตู้สินค้าผ่านท่าจำนวนมากติด 1 ใน 20 ของโลก
เส้นทางกว่าจะมาเป็น ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เล่าว่า ผมเป็นคนชลบุรีโดยกำเนิด ครอบครัวผมย้ายมาจากกรุงเทพตั้งแต่ผมอายุเพียง 8 เดือน เติบโตมากับทะเล เช้าตื่นมาก็เห็นทะเลทุกวัน มีความผูกพันอยู่กับทางน้ำมาโดยตลอด
เส้นทางสู่ชีวิตการทำงานทางน้ำของผม เริ่มต้นจากผมได้มีโอกาสเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร ผมเลือกเรียนเหล่าตำรวจ และท้ายที่สุด ชีวิตก็หักเหจนมาเป็นตำรวจน้ำ ได้ไปเรียนนักเรียนนายเรือจบมาจากโรงเรียนนายเรือ จากนั้นก็ไปทำงานที่ตำรวจน้ำประมาณ 2 ปี ทีนี้ก็มีความคิดว่าเราอยากมาทำงานด้านทะเลอย่างเต็มตัว ผมเลยมาทำงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2532
ในห้วงแรกของการทำงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ทำงานตำแหน่งนายช่าง กองการขุดลอก ฝ่ายการร่องน้ำ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เพราะเรียนจบมาด้านเหล่าช่างของทหารเรือ ทำงานอยู่เรือสันดอน ทำหน้าที่ขุดรอกร่องน้ำเดินเรือให้กับเรือทั้งในและต่างประเทศให้เรือเข้าออกได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
ผมทำงานอยู่ในเรือสันดอน ซึ่งเป็นเรือไอน้ำในยุคแรกๆ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเรือดีเซล จากนั้นการทำงานของผมก็เจริญเติบโตมาในเรือสันดอน เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งนายช่างกล ระดับ 10 และขึ้นมาเป็นนายช่างกลเรือระดับ 11 หรือเรียกว่ารองต้นกล และขึ้นมาเป็นต้นกลเรือ ในปี 2538
จุดเริ่มต้นเข้าทำงานที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ร้อยตำรวจตรี มนตรี เล่าให้ฟังว่า ปี 2540 เป็นช่วงจุดเปลี่ยนของการเข้าทำงานที่ท่าเรือแหลมฉบัง ช่วงนั้นตำแหน่งผู้อำนวยการกองการช่างที่ท่าเรือแหลมฉบังว่าง ผมจึงขอย้ายมาทำงานที่ท่าเรือแหลมฉบัง ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองการช่าง จากประสบการณ์ ความสามารถด้านการช่างบวกกับมีคุณวุฒิพิเศษนอกจากเป็นนักเดินเรือแล้ว ผมยังมีใบประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาเครื่องกล พอดีสเปคตรง จึงได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการช่าง ท่าเรือแหลมฉบัง ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540
หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองการช่าง และเติบโตเรื่อยมา จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง ผมเติบโตในการทำงานที่ท่าเรือแหลมฉบังมากว่า 33 ปี มองเห็นความเติบโตของท่าเรือมาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ตั้งแต่การเริ่มก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 1 จนมาถึงการเริ่มก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 2 และในวันนี้เราเริ่มก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังขั้นที่ 3
ก้าวสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบังเมื่อปี 2560 ดำรงตำแหน่งอยู่ 2 ปีกว่า ก็ย้ายไปทำงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายงานวิศวกรรม และย้ายกลับมาทำงานที่ท่าเรือแหลมฉบังในปี 2563 ในตำแหน่งผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบังอีกครั้ง
ผู้บริหารสายลุย มุ่งมั่น และจริงจัง
ผมเติบโตมาจากการเป็นช่าง ที่ลักษณะนิสัยของคนเป็นช่างก็จะต้องมือเปรอะมือเปื้อน เหงื่อต้องออก และต้องมีลูกน้องที่จะต้องทำงานคลุกคลีกัน งานจึงจะสำเร็จ ดังนั้น ด้วยลักษณะส่วนตัวแบบนี้ ผมจึงมักที่จะเลือกใช้วิธีการในการควบคุมงาน ในการกำกับงาน ในลักษณะลงไปดู ในรายละเอียด และลงไปช่วยทำ ลงไปช่วยตัดสินใจ ตั้งแต่ก้าวแรก จนกระทั่งมาร่วมตัดสินใจในก้าวสุดท้าย ก่อนจะพ้นออกไปถึงผู้บริหารระดับสูง
การทำงานสไตล์ผมคือก่อนที่จะทำอะไร เราต้องลงไปดูในรายละเอียดพื้นฐานก่อน แล้วต้องอธิบายให้ทีมงานเข้าใจให้ได้ว่าเราจะเดินไปตรงไหน ต้องเตรียมการอะไรบ้าง สไตล์การทำงานของผมคือจะไม่ใช่ว่าสั่งงานแล้วรอดู แต่จะลงไปช่วยกันกัน วิธีการทำงานของผมคือเข้าถึง และเหนื่อยไปพร้อมๆ กับลูกน้อง ให้อิสระลูกน้องให้ทำงาน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน
ผมเป็นคนที่ทำอะไรจะทำจริงจัง และนึกภาพร่วมกันให้ออกระหว่างตัวเราและทีมงาน และสิ่งที่ทีมงานคิดเราก็ต้องคิดเหมือนกับเขา ทีมงานสำหรับผมคือทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน ภาครัฐบาล และภาคประชาชน วิธีคิดของเราคือเราต้องรู้ความต้องการ และทำในสิ่งที่ทุกส่วนอยากจะได้ จะทำให้การทำงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ท่าเรือในอดีตและสิ่งที่อยากให้เป็น
ท่าเรือแหลมฉบังประกอบด้วย 3 เฟืองหลัก ที่ต้องประกอบกัน คือ ภาคราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งเฟืองแต่ละตัววิธีการหมุนไม่เหมือนกัน จังหวะการหมุนไม่เหมือนกัน แต่ทุกจังหวะต้องอาศัยแรงสนับสนุนและช่วยผลักดันในลักษณะที่แตกต่างกัน ที่จะช่วยผลักดันให้การทำงานประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม
แนวคิดของผมต้องสอดรับกับทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชนและผู้มาใช้บริการ เราต้องรับทุกคำชี้แนะ ที่ทั้ง 3 สิ่งอาจไม่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่เราต้องหาจุดที่ลงตัวที่สุด จุดยืนตรงนี้ให้ได้ ที่เป็นเรื่องที่ท้าทายมากเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ต้องใช้เวลาและความมีมนุษย์สัมพันธ์และความตั้งใจและจริงใจในการทำงาน และต้องอดทนด้วย
ท่าเรือแหลมฉบังในวันข้างหน้าพร้อมพัฒนาครบทุกมิติ
ท่าเรือแหลมฉบังได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ และสนับสนุนการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ซึ่งท่าเรือแหลมฉบัง มีวิสัยทัศน์ คือ “มุ่งสู่มาตรฐานท่าเรือชั้นนำระดับโลก พร้อมการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2573”
ร้อยตำรวจตรี มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า ท่าเรือแหลมฉบัง มีโครงการที่สนับสนุนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม และวิสัยทัศน์องค์กร ดังนี้ 1. โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 2. โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง และ 3. โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง หากมีการพัฒนาครบทุกมิติจะทำให้การเกิดประสิทธิภาพและลดต้นทุนของผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ยังมุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการขนส่งสินค้าทางน้ำให้แก่ประเทศ เพื่อเน้นย้ำถึงจุดยืนการเป็นเกตเวย์หลักในภูมิภาค การเป็นศูนย์กลางทางการค้า อีกทั้งเพื่อเพิ่มศักยภาพการเป็นท่าเรือที่ล้ำสมัยด้วยการบริหารจัดการ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนผสมผสานให้เป็นท่าเรือที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย
28 มีนาคม 2565
ผู้ชม 2631 ครั้ง