KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier แนะให้บริหารความเสี่ยง

หมวดหมู่: NEWS UPDATE

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier แนะให้บริหารความเสี่ยง

พร้อมสร้างโอกาสในช่วงตลาดผันผวนไปกับกองทุน K-ALLROADS Series

 

จะดีแค่ไหนหากมีกลยุทธ์การลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอได้ในระยะยาว ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง KBank Private Banking เชื่อในหลักการลงทุนแบบ Risk-Based Asset Allocation ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน อีกทั้งยังกำหนดความเสียหายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอในทุกสภาพเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนในกองทุน K-ALL Roads Series ซึ่งเป็นนวัตกรรมการลงทุนที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนในสภาวะตลาดที่คาดเดายาก

 

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier เผยมุมมองต่อเศรษฐกิจโลก โดยมองว่าอาจเกิดได้ใน 2 กรณี ได้แก่

1.เศรษฐกิจได้รับผลกระทบแบบจำกัด มีโอกาสเกิดขึ้น 70% (Base Case) โดยมองว่าในที่สุดสหรัฐฯ จะประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 30% และจากประเทศอื่น ๆ อีก 10% ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในวงจำกัด เศรษฐกิจอาจเกิดการชะลอตัวแต่ไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดว่า GDP สหรัฐฯ ปีนี้จะเติบโต 1.2% และ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 3.75% ภายในปีนี้

2.เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง / เกิดภาวะที่เศรษฐกิจซบเซาและมีเงินเฟ้อสูงพร้อมกัน หรือที่เรียกว่า Stagflation มีโอกาสเกิดขึ้น 30% (Risk Case) คือการที่สหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีเต็มรูปแบบตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ไม่มีการผ่อนปรน ส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ โตได้เพียง 0.5% ขณะที่เงินเฟ้อยังคงสูง Fed อาจต้องลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง เหลือเพียง 2.0% ในปีนี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจในภาวะ Stagflation

 

จากความไม่แน่นอนนี้ Lombard Odier ผู้จัดการกองทุนหลักของกองทุน K-ALL Roads series ได้กำหนดเป้าหมายหลักในการบริหารกองทุนไว้ 3 ข้อ คือ สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ ปกป้องความเสียหายของเงินลงทุน และต้องมีสภาพคล่อง โดยมีวิธีการบริหารพอร์ต ดังนี้

  • ลงทุนเฉพาะในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง
  • กระจายความเสี่ยง
  • ปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง (รายวัน)
  • ควบคุมการขาดทุนสะสม

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทุน K-ALL ROAD Series ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและทันท่วงที เช่น ในช่วงต้นปี ที่ตลาดส่งสัญญาณเป็นบวก กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนที่ 140% ผ่านการ Leverage ในทางกลับกัน หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี ในช่วงวันที่ 2-9 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเสี่ยงในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก กองทุนจึงได้ปรับลดการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง 60% เเพื่อลดความเสี่ยง จากนั้นกองทุนก็กลับมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และหุ้นกู้ มากขึ้น จากสัญญาณบวกที่ได้รับจากเครื่องมืองต่างๆ โดยสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันของกองทุน ได้ให้น้ำหนักในพันธบัตรรัฐบาลและพันฐบัตรที่อ้างอิงกับเงินเฟ้อ (Inflation-linked Bonds) สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และ ให้น้ำหนักในหุ้นกู้และหุ้น ทั้งในตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Market) และ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

27 พฤษภาคม 2568

ผู้ชม 50 ครั้ง

Engine by shopup.com